☀️THE SUNDAY PAPER : คงเรียกได้ไม่เต็มปากนักว่าเราคุ้นชินกับคำว่า "ความไม่แน่นอน" ของสถานการณ์เศรษฐกิจและการลงทุนแล้ว เพราะยังมีเรื่องคาดการณ์ได้และไม่ได้อยู่สลับกันไปมา และเหมือนตลาดสินทรัพย์ จะปรับตัวรับปัจจัยลบไปหมดแล้ว แต่ยังไม่เป็นเช่นนั้น ... เดือน ก.ย. ตลาดหุ้นสหรัฐฯและยุโรปเจอแรงขายหนักอีกครั้ง เพราะภาพของเงินเฟ้อและความต้องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนไปในทางที่เข้มขึ้นอีก

 

ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯ เจอเข้ากับภาวะเศรษฐกิจแบบอ่อนๆ (Mild Recession) ดังที่เรานำเสนอไป ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคธุรกิจต่างๆ และการถดถอยจริงของเศรษฐกิจกำลังเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นหรือไม่ หลังจากธนาคารสหรัฐฯและยุโรป จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไปเพื่อคุมเงินเฟ้อ โดยคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะไปถึงระดับ 4% จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.-3.5%

 

🔴ผลกระทบที่มาถึงฝั่งตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย คือ เจอกับแรงขายในตลาดหุ้น ค่าเงินที่อ่อนลง เราได้เห็นเงินบาทอ่อนค่าลงสู่ระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์แล้ว เป็นโจทย์ต่อแบงก์ชาติว่าจะรับมืออย่างไร โดยเฉพาะเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และความผันผวนของสินทรัพย์ที่สูงขึ้น ดังที่รายการ Daily In Trend ได้นำเสนอไป

 

📌เมื่อภาพรวมของปัจจัยเศรษฐกิจกับลงทุนเปลี่ยนไปจากเดิมอีกครั้ง ประเด็นที่ต้องติดตามมากขึ้นจากนี้คือ
1.) ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75 หรือ 1% ในเดือน ก.ย. ซึ่งจะมีผลให้เศรษฐกิจอาจแย่ลงไปอีก ..?
2.) รัสเซียประกาศเดินหน้าทำสงครามกับยูเครนต่อไป และจะตอบโต้ยุโรปในเรื่องใดอีกหรือไม่ นอกจากพลังงาน ..?
3.) แบงก์ชาติของไทยรับมือกับค่าเงินบาทด้วยนโยบายดอกเบี้ย หรือไม่อย่างไร..?
5.) ปัญหาทางการเมืองของจีนกับสหรัฐฯ จะขยายวงกระทบไปที่เรื่องใดบ้าง .? (การคว่ำบาตรจีน ผลต่ออุตสากรรมเทคโนโลยีและชิป )
4.) หากสัญญาณการเกิด Recession ในสหรัฐฯและยุโรปจะมาเร็วขึ้นกว่าที่คาดหรือไม่ ..?

 

📌แบบนี้กลยุทธ์ลงทุนควรทำอย่างไร ?

🟢ในรายการ Weekly Strategies และรายการ Daily In Trend เราแนะนำอยู่เสมอในระยะนี้ประมาณ 1-3 เดือน ตลาดต่างประเทศมีความผันผวน การปรับขึ้นของดัชนียังไม่ใช่ขาขึ้นชัดเจน "อย่าไล่ซื้อ แต่ให้ " รอซื้อเมื่อตลาดย่อตัวลง" และขายทำกำไร ส่วนตลาดหุ้นไทย ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจยังไม่เจอผลกระทบรุนแรงมาก เราจึงเห็นหุ้นไทยมีแรงซื้อกลับมาอยู่เสมอเมื่อเจอแรงขาย ภาพการเข้าซื้อหุ้นไทยที่เราเห็นและแนะนำในรายการอยู่ประจำคือ
1.) ซื้อหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
2.) ซื้อหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมาลึก
3.) ซื้อหุ้นที่คาดว่าจะมีแรงซื้อจากต่างชาติ แต่ต้องระวังแรงขายเช่นกัน
4.) ซื้อหุ้นกลุ่มที่นักลงทุนในประเทศเปลี่ยนกลุ่มเข้าลงทุน

 

🟢สรุป : การลงทุนในหุ้นไทยที่ DAOL เรามองว่าสามารถรับมือกับแรงกดดดันจากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะถดถอย คือ การพิจารณาใน 2 เรื่องคือ

➡️ ความเสี่ยงในอนาคต จากปัจจัยลบในต่างประเทศ
➡️ ราคาหุ้นในปัจจุบัน

 

🟢กล่าวคือ ปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ ไม่ได้มาจากปัจจัยในประเทศ แต่มาจาก เงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ย ปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ทำให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง และหันไปถือเงินสดมากขึ้น การพิจารณาจึงต้องหุ้นที่เลี่ยงความเสี่ยง หรือหุ้นที่ราคาอยู่ในระดับที่ไม่สูง นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นออก (ช่วงเดือน ก.ย.นักลงทุนต่างประเทศ Net sell หุ้นไทยไปแล้ว 1.5 หมื่นล้านบาท) เราจึงควรเลี่ยงหุ้นที่นักลงทุนกลุ่มนี้ เข้าซื้อไว้มากๆ ไปก่อน อาทิโรงพยาบาล (BH, BDMS) หรือหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ ส่วนกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่เคยสูง (แต่วันนี้ กำลังจะดับ) เราแนะเลี่ยงไปก่อนเช่นกัน

 

📌แล้ว DAOL เลือกอะไร ให้นักลงทุน

🟢ด้วยภาวะตลาดที่ยังไม่เสถียรแบบนี้ เราจะแนะนำให้นักลงทุน เล่นเก็งกำไรช่วงสั้นๆ ไปอีกระยะหนึ่ง เลือกหุ้นมีข่าว มีปัจจัยหนุนช่วงสั้น โดยดูจากบทวิเคราะห์รายวันของ DAOL ทุกๆเช้า

🟢ถ้าเลือกเป็นหุ้น ที่พอจะซื้อเก็บได้ หรือใช้เป็นกลุ่มที่พักเงิน เราแนะนำหุ้นที่อิงรายได้ในประเทศ (Domestic Play) เช่น CPALL , AOT , GLOBAL , DOHOME ที่มีฐานรายได้ที่แข็งแรง และดีจากการทยอยเปิดประเทศให้มีการท่องเที่ยว

🟢ในส่วนของหุ้นที่ราคาลงมาลึกๆ หากทนถือได้ในระยะ 1-2 เดือนขึ้น บนการคาดการณ์ว่าสภาพตลาดจะดีขึ้น หุ้นที่เคยถูกกระทบจากน้ำมันแพง หรือ ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน มีตัวเลือกหลายตัว อาทิ KCE, HANA, PSL, IVL, PTTGC

 

📌นอกจากสภาพอากาศแล้ว ☀️ ช่วงนี้ตลาดการลงทุนเปลี่ยนแปลงบ่อย ฉะนั้นอย่าพลาดชมบทวิเคราะห์การลงทุน ได้ทาง DAOL CHANNEL ในรายการ Weekly Strategies ทุกวันจันทร์ เวลา 08:30 น. และรายการ Daily In Trend เวลา 09:00 น. วันอังคาร - ศุกร์ ทาง FB Live และ Youtube