☀THE SUNDAY PAPER : เป็นอีกแห่งที่ต้องขึ้นดอกเบี้ย คือ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับขึ้นอัตรา #ดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ในการประชุมครั้งล่าสุด เป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่คาดการณ์แต่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย เมื่อดูจากเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นไม่หยุด และดูเหมือนเป็นการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรักษาค่าเงินยูโรไว้หลังจากอ่อนค่าลงจนไปเท่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐฯก่อนหน้านี้ ความน่ากังวลที่จะเกิดภาวะถดถอยยังไม่ได้คลายลง การคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจหลายประเทศยังถูกปรับลง รวมทั้งประเทศที่คาดว่าจะเดินตามรอยศรีลังกา

 

🏦นโยบายดอกเบี้ยกำลังถูกใช้เพื่อควบคุมค่าเงินรวมทั้งไทยด้วย หลังจาก ECB ขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 11 ปี แต่สหรัฐฯ กำลังจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง การประชุมปลายเดือน ก.ค. นี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะขึ้นดอกเบี้ยเท่าไร  1% หรือแค่ 0.75% ? แต่ไม่ว่าจะเท่าไรแน่นอนว่ามีผลต่อตลาดสินทรัพย์ อย่างที่นักวิเคราะห์ได้คุยกันทุกวันในรายการของ #DAOLCHANNEL  

 

🚨ภาพอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อสูงแต่การเติบโตของเศรษฐกิจลดลง เริ่มสะท้อนออกมาในผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2  ที่กำลังรายงานออกมา ดังนั้นการลงทุนยังมีความเสี่ยง .. ในระยะจากนี้มีประเด็นอะไรบ้างที่แอบซ่อนอยู่และนักลงทุนอาจต้องเจอเพื่อรับมือ THE SUNDAY PAPER จะเล่าเพิ่มเติมต่อจากในตอนที่แล้วดังนี้ครับ
🇺🇸 เงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่สูงต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยที่เพิ่มโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยระดับ 0.75-1% ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะถดถอย

 

❗️ธนาคารกลางทั่วโลกจะถูกบีบให้ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามสหรัฐฯ หมายความว่าต้นทุนทางการเงินของธุรกิจจะเพิ่มขึ้น

 

สงครามในยูเครน รัสเซียอยู่ในสถานการณ์ที่มีอำนาจต่อรองกับประเทศที่คว่ำบาตร ในเรื่องพลังงานและสินค้าธัญพืช เป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้เกิด #วิกฤตอาหาร และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้ หากรัสเซียใช้ตอบโต้

 

📉 ภาคธุรกิจกำลังประสบปัญหาต้นทุนที่เพิ่มจากราคาพลังงานและวัตถุดิบต่างๆ ที่ปรับขึ้น แต่ยอดขายและกำไรภาคธุรกิจลดลง

 

📉 ธุรกิจที่อ่อนไหวต่อทิศทางเศรษฐกิจ เช่นภาคการเงิน , ส่งออก , เทคโนโลยี อาจจะแย่ลง ทำให้ราคาหุ้นของกลุ่มเหล่านี้จะปรับฐานลง

 

☣️ การระบาดใหม่ของโควิด-19 จะกดดันหุ้นกลุ่มเปิดเมืองต่างๆ ทำให้กำไรของกลุ่มเหล่านี้ฟื้นตัวช้า
💵 เงินดอลล่าร์จะได้รับความสนใจในการเป็น Safe Heaven แต่เงินบาทจะอ่อนค่าลง
💰 หากสถานการณ์มีความไม่แน่นอนและผันผวน  นักลงทุนขายหุ้นเพื่อมาถือเงินสดมากขึ้น 
📉 ตลาดหุ้นทั่วโลกอาจจะปรับฐานลงต่อได้ หากเศรษฐกิจชะลอลง
💍 ธุรกิจที่อิงกำลังซื้อคนจะประสบปัญหารายได้ลดลงโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย
🔴 จะเห็นประเด็นทั้งหมดเกี่ยวโยงถึงกัน อยู่ที่ว่าจะเจอผลกระทบมากน้อยแค่ไหนในแต่ส่วน สินทรัพย์ต่างๆ จะเคลื่อนไหวตามตัวแปรดังกล่าวนี้  

 

📌ประเด็นที่ต้องติดตามคือ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯในวันที่ 26-27 ก.ค. นี้จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเท่าไร DAOL SEC ประเมินไว้ดังนี้  
❌FED ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% : มองว่าไม่น่าเป็นไปได้  
🟡FED ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% : เป็นการขึ้นขั้นต่ำที่ตลาดคาดการณ์ หุ้นสหรัฐฯอาจสูงขึ้นในวันนั้น แต่ความกังวลที่ตามมาคือ ครั้งต่อไปดอกเบี้ยอาจขึ้นในระดับ 0.75-1.00 % ได้อีก ซึ่งจะทำให้ตลาดเกิดความอึมครึม
🔴FED ขึ้นดอกเบี้ย 1.00 % : เป็นขั้นสูงที่ตลาดคาดการณ์ ตลาดจะเกิดความชัดเจน แต่จะทำให้ธนาคารกลางอื่นๆ อาจต้องขึ้นดอกเบี้ยตามภายใน 7วัน และส่งผลลบต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ย
💥FED ขึ้นดอกเบี้ย 1.25% : (วงแตก !) เป็นการขึ้นที่เหนือคาดการณ์ จะลบต่อตลาดและสินทรัพย์การเงินเกือบทุกตัวทันที เงินดอลล่าร์จะแข็งค่า เงินบาทอ่อนลง เงินทุนไหลออก และธนาคารกลางต่างๆ อาจต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยทันที

 

หลังการขึ้นดอกเบี้ยของ FED แล้วคณะกรรมการหรือประธาน FED จะกล่าวแถลงอย่างไร ? เป็นอีกปัจจัยที่ต้องรอดูประกอบ รวมถึงบ้านเรานโยบายการเงินจะปรับตามอย่างไรบ้าง ? ระยะนี้จึงถือว่าน่าจับตามองอย่างยิ่งกับผลกระทบที่จะมีต่อตลาดและเศรษฐกิจ