☀️THE SUNDAY PAPER : การเคลื่อนไหวของตลาดสินทรัพย์ ตอนนี้มีภาพที่ชัดขึ้น คือ กำลังอยู่ในภาวะที่นักลงทุนไม่แน่ใจกับทิศทางตลาดจนไม่กล้าเข้าซื้อ กล่าวคือ การเกิดเศรษฐกิจถดถดถอยกำลังชัดเจนและใกล้เข้ามามากขึ้น จึงเกิดไม่แน่นอนสูง .. เรามองว่ากำลังอยู่ในภาวะที่เรียกว่า "Bear Market Rally" ซึ่งเกิดผลสะท้อนดังนี้

➡️ เศรษฐกิจชะลอตัวลงและตลาดกังวลภาวะถดถอยมากขึ้น
➡️ นักลงทุนถือเงินสด และจะลงทุนแบบเก็งกำไรระยะสั้นมากๆ 
➡️ เงินจะไหลตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และถือเงินดอลลาร์มากขึ้น ถือเป็นภาวะที่ไม่ปกติที่เงินเข้าที่เดียวมากเกินไป
➡️ ภาคธุรกิจ ลดความเสี่ยงด้วยการถือเงินสดมากขึ้นรวมถึงลดต้นทุนต่างๆ 
➡️ การถือเงินสดที่มากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและเพื่อรักษาสภาพคล่อง

📌ข้อมูลจาก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ (บลจ.ดาโอ) ระบุว่า จากผลสำรวจของ BofA พบว่าผู้จัดการกองทุนมีสถานะถือครองเงินสดสูงสุดในรอบ 20 ปี แตะระดับ 6.1% ในเดือนกันยายน จาก 5.7% ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนมุมมองเชิงลบในการลงทุน ทำให้ตลาดกำลังอยู่ในภาวะ Bear Market Rally  หรือค่อยๆปรับตัวลง และจะมีแรงซื้อเขามาเก็งกำไรเมื่อราคาลงไปลึก  ➡️➡️ชมบทวิเคราะห์เพิ่มเติมได้ที่  https://www.youtube.com/watch?v=Q3nD2Hzm_SU

🇹🇭เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย พบว่า ก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างประเทศ เข้าซื้อหุ้นไทยระดับเกิน 1 หมื่นล้านบาท/เดือน ในช่วงเดือน ก.ย.2021 เป็นต้นมา ทำให้ดัชนี SET Index  ขึ้นไปถึงระดับประมาณ 1,630 จุด ณ เวลานั้น และยังเข้าซื้อต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันเงินต่างชาติมีการไหลออก เนื่องจากดอลลาร์ที่แข็งค่าและบอนด์ยิลด์สหรัฐฯปรับตัวขึ้น 

🔴อย่างไรก็ตาม ภาวะ Bear Market Rally ทำให้นักลงทุนต่างชาติปรับกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นไทย .. แต่เรามองว่า นักลงทุนต่างชาติยังเป็นกลุ่มลงทุนหลักที่เข้าซื้อหุ้นไทย แต่การเข้าลงทุนอาจไม่เข้าซื้อแบบเยอะเหมือนช่วงก่อนหน้า "การซื้อของต่างชาติช่วงนี้จะเป็นการซื้อในหุ้นที่เคยซื้อ ในทางตรงกันข้าม หุ้นที่ถูกขายออก ก็อาจจะไม่ได้ถูกกลับเข้ามาซื้อ"

📌ดังนั้นนักลงทุนไทยที่มีกลยุทธ์ลงทุนแบบซื้อหุ้นตามนักลงทุนต่างประเทศ ควรให้น้ำหนักกับหุ้นที่มี Net buy มากเป็นลำดับต้นๆ เป็นหลัก เรามองว่าหุ้นที่น่าสนใจเช่น  PTTEP , BH , KBANK , AOT และ BDMS และก็ต้องระวังการขายของต่างชาติในเวลาเดียวกัน

🔴นอกจากนี้แนวโน้มการปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนลง ซึ่งเป็นผลจากการการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ลดลง สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นได้ในระยะสั้น อีกทั้งจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ต่อเนื่อง ทำให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น เริ่มมีความน่าสนใจลดลงเมื่อเทียบกับตราสารหนี้  ตลาดในระยะจากนี้อาจมีความผันผวนสูงขึ้น จะเห็นตลาด Rebound กลับมา เมื่อถูกแรงขายลงไปมาก ทำให้ภาวะ Bear Market Rally น่าจะอยู่ต่อไปอีกระยะ