           วิกฤตน้ำท่วมฉับพลันปี 2024 มาเร็วกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ในช่วงเดือนกรกฎาคม ทำให้เกิดความเสียหายแล้วในพื้นที่ 20 จังหวัดของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ 11 จังหวัด อาทิ เชียงราย ลำปาง พะเยา สุโขทัย เลย สตูล ภูเก็ต เป็นต้น ต้นเดือนกันยายนมวลน้ำใหญ่กำลังไหลผ่านจังหวัดสุโขทัย และคาดอีก 5 วันถึงกรุงเทพมหานคร

           คาดความรุนแรงไม่เท่าปี 2011 แต่จะใกล้เคียงปี 2022 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช) ระบุสถานการณ์น้ำท่วมปีนี้จะไม่หนักเท่าปี 2011 และ ปี 2022 เทียบสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ 2 ครั้งก่อน พิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลักคือ จำนวนพายุ ปริมาณฝน และระดับกักเก็บน้ำ

-ปี 2011 มีพายุพัดผ่านเข้าไทย จำนวน 5 ลูก,  ปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 1,752 มม. สูงกว่าค่าปกติ 24% ผลกระทบความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยหลังน้าท่วม (ไตรมาส 4/2011) ทั้งสิ้นประมาณ 3.28 แสนล้านบาท ส่งผลให้ GDP ไทยไตรมาส 4/2011 และธนาคารโลกประเมินมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 1.44ล้านล้านบาท  (คิดเป็น 14% ของ GDP 2011)

-ปี 2024 ตัวแปรคือพายุช่วงเดือนกันยายนและตุลาคม กับปริมาณฝนตกท้ายเขื่อน แต่สำหรับปี 2024 พบว่า เดือน ส.ค. นี้ ปริมาณฝนยังคงต่ำว่าค่าปกติ 4% และต่ำกว่า ปี 2011 และคาดว่าจะมีพายุพัดผ่านเข้าไทย จำนวน 1-2 ลูก สภาหอการค้าไทย ประเมินผลกระทบเบี้องต้น 6-8 พันล้านบาท

           หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมปี 2011 ช่วงที่เกิดวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ปี 2011 พบว่า SET Index ปรับตัวลงถึง 21% ภายในเวลา 2 เดือน (ก.ค.-ส.ค. ) แต่ฟื้นตัวสู่ระดับเดิมใน 5 เดือนหลังจากนั้น

-กลุ่มและหุ้นที่ราคาหุ้นปรับลงมากกว่า SET คือ หุ้นที่มีโรงงานส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมเช่น Automotive (AH, STANLY, SAT), Electronics (HANA, DELTA, KCE), Industrial Estate (AMATA, ROJNA) และ Finance (AEONTS)

-หุ้นกลุ่มที่มีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นหรือได้รับผลกระทบไม่มากคือ Hospital (BDMS, BH, BCH), Commerce: consumer staple (CPALL, BJC, CRC) และ Home Improvement (HMPRO, GLOBAL, TASCO)

           สำหรับน้ำท่วมปี 2022 กระทบ SET จำกัด โดยช่วงน้ำท่วมปี 2022 (ส.ค.-ก.ย.) SET ปรับตัวลง -2%  หุ้นกลุ่ม Hospital outperform SET (BH +21%, BDMS +8% ยกเว้น BCH -16%) รองลงมาคือ Home Improvement (GLOBAL +10%, HMPRO +5% แต่ DOHOME -18%) ในขณะที่ Commerce: consumer staple (BJC, CPALL, CPAXT, CRC) ปรับตัวลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามหากดู performance ช่วงน้ำท่วมจนถึงหลังน้ำท่วม 3 เดือน (ก.ค.-ธ.ค.) หุ้นทั้ง 3 กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นดีกว่า SET โดยหุ้นที่ปรับตัวขึ้นดีสุดคือ  GLOBAL +24%, CPAXT +21%, CRC +16%

           Top picks: HMPRO และ CRC Home Improvement ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านเพิ่มมากขึ้นจะเพิ่มขึ้น หลังน้ำท่วม โดยเฉพาะจากงบรัฐบาลช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ในขณะที่ consumer staple ได้ผลบวกมากจากประชาชนกักตุนสินค้า และซื้อเพิ่มเพื่อบริจาค

HMPRO (“ซื้อ”/ราคาเป้าหมาย 13.00 บาท) จาก 1) บริษัทยังคงตั้งเป้าขยายสาขาใน 2024E ที่ 7 สาขา โดยใน 1H24 มีการเปิดสาขา 2 สาขาแล้ว โดยใน 2H24E จะเปิดเป็นสาขา Hybrid ที่เป็นการเปิด format เพิ่มเติมจากสาขาของ MegaHome ที่มีอยู่แล้ว 1 สาขา และเป็น New hybrid store 1 สาขา ใน 3Q24E และ HomePro 2 สาขาใน 4Q24E, 2) ผู้บริหารคาด SSSG 2H24E ฟื้นตัวได้ HoH จาก 1H24 ที่ SSSG อยู่ที่ติดลบ -4.7% และ 3) คาด GPM ใน 2024E ทรงตัว YoY หรือบวกได้เพียงเล็กน้อยจาก GPM ของ MegaHome ที่มีสัดส่วนเยอะขึ้น และยังตั้งเป้า house brand mix ที่ 21% (1H24: 20.9%) เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 13.00 บาท อิง 2024E PER ที่ 26x (-2SD below 5-yr average)

CRC (“ซื้อ”/ราคาเป้าหมาย 40.00 บาท) 1) ตั้งเป้ารายได้รวม 2024E โต +7-9%, Core EBITDA +11-13%  โดย GPM ทรงตัวใกล้เคียงกับใน 2023  และยังคงเป้า SG&A/sales อยู่ที่ต่ำกว่า 27.5% 2) คาดกำไร 2H24E จะได้แรงหนุนจาก high season ใน 4Q24E และรายได้ของสาขาใหม่ที่รับรู้เข้ามาเพิ่ม เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 40.00 บาท อิง 2024E PER ที่ 29x  (หรือเท่ากับ -0.25SD below 3-yr average PER)