     สหรัฐฯ ประกาศนโยบาย Reciprocal tariffs โดยไทยถูกเก็บสูงที่ 36% ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในวันพุธ (2 เม.ย.) เพื่อประกาศใช้ทั้งมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) และมาตรการภาษีศุลกากรแบบครอบจักรวาล (Universal tariffs) โดยจะมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรพื้นฐานในอัตรา 10% จากทุกประเทศ ในขณะที่จะเก็บภาษีตอบโต้เพิ่มเติมกับคู่ค้าของสหรัฐฯ บางประเทศ ซึ่งรวมถึงจีนที่ถูกเรียกเก็บ 34%, อินเดีย 26%, เกาหลีใต้ 25%, ญี่ปุ่น 24%, และสหภาพยุโรป (EU) 20% ส่วนประเทศในอาเซียนถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ถ้วนหน้าเช่นกัน นำโดยกัมพูชา 49%, ลาว 48%, เวียดนาม 46%, เมียนมา 44%, ไทย 36%, อินโดนีเซีย 32%, บรูไน 24%, มาเลเซีย 24%, ฟิลิปปินส์ 17%, และสิงคโปร์ 10% ทั้งนี้ภาษีศุลกากรแบบครอบจักรวาลจะมีผลบังคับใช้ในวันเสาร์ที่ 5 เม.ย. ขณะที่ภาษีศุลกากรตอบโต้ซึ่งมุ่งเป้าไปที่คู่ค้าของสหรัฐฯ ประมาณ 60 ประเทศนั้น จะมีผลบังคับใช้ในวันพุธที่ 9 เม.ย. (ที่มา: อินโฟเควสท์)

 

     เรามีมุมมองเป็นลบต่อหุ้นกลุ่มส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้ส่งออกไปสหรัฐฯ สูง ได้แก่ AAI 60%, ITC 50%, และ TU 40% โดยสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ปัจจุบันไทยเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ประมาณ 8% และสหรัฐฯ ไม่มีการเก็บภาษีนำเข้าจากไทย ขณะที่ผลิตภัณฑ์ทูน่ากระป๋อง ไทยเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ราว 28% และสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 9-10% ทั้งนี้เรามองว่าการขึ้นภาษีนำเข้าดังกล่าว ระยะสั้นอาจส่งผลให้ลูกค้ามีการ wait & see ชะลอคำสั่งซื้อ รวมถึงอาจมีการเจรจาให้บริษัทช่วย absorb บางส่วน เบื้องต้นเราประเมิน sensitivity สำหรับยอดขายในสหรัฐฯ ของ AAI, ITC, และ TU ที่ปรับตัวลงทุก -10% จะกระทบกำไรราว -3-5% อย่างไรก็ตามเรามองว่ายังต้องรอดูข้อมูลรายละเอียดการเก็บภาษีรายผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม

นอกจากนี้สำหรับหุ้นกลุ่มยางพาราใน coverage ของเรา ได้แก่ NER แม้ปัจจุบันไม่มีสัดส่วนรายได้ส่งออกไปสหรัฐฯ โดยตรง แต่เรามองว่าบริษัทมีโอกาสได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการที่ลูกค้าของบริษัทมีการส่งออกล้อยางไปสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ เป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ในการส่งออกผลิตภัณฑ์ล้อยางสูงเกือบ 50% ของส่งออกล้อยางของไทยโดยรวม ทั้งนี้สำหรับ NER เราแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 5.50 บาท อิง 2025E PER 6x (5-yr average)