News Flash
PTT ประเมินผลกระทบ 6.5 พันล้านบาทในช่วง ม.ค.-เม.ย. PTT แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ม.ค.2024) ว่า ตามคำสั่งของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (ERC) บริษัทประเมินผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติจากการใช้ราคาก๊าซฯในอ่าวไทยมาเป็นต้นทุนเฉลี่ยก๊าซฯจากทุกแหล่ง (อ่าวไทย เมียนมาและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)) (Pool gas) จะกระทบกำไรของธุรกิจก๊าซฯของ PTT ประมาณ 6.5 พันล้านบาท ในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย.2024 นอกจากนี้ PTT แจ้งว่าคณะกรรมการ (BOD) ได้มีมติให้ PTT ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของ ERC ซึ่งยกอุทธรณ์ของ PTT ต่อคำสั่งให้ PTT เอาราคาก๊าซฯในอ่าวไทย กรณีผู้ผลิตไม่สามารถส่งมอบก๊าซฯได้ตามเงื่อนไข (shortfall) มูลค่าประมาณ 4.3 พันล้านบาท (ต.ค.2020-ธ.ค.2022) มาคำนวณในราคา Pool gas (ที่มา: SET)
ภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนการติดตั้ง solar rooftop ทั้งในส่วนของภาคโรงงานและภาคครัวเรือน โดยโรงงานอุตสาหกรรมสามารถติด solar rooftop เกิน 1MW ไม่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ในขณะที่ภาคครัวเรือนสามารถนำค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง solar rooftop มาหักลดหย่อนภาษีประจำปีได้ไม่เกิน 2 แสนบาท ขนาด 10KW โดยมีระยะเวลา 3 ปีหลังจากบังคับใช้ โดยภาครัฐอยู่ระหว่างผลักดันนโยบายดังกล่าว (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ)
Implication
เรามีมุมมองเป็นลบต่อหุ้นที่เกี่ยวกับธุรกิจโรงแยกก๊าซฯแต่มองบวกต่อหุ้นที่มีกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการติดตั้งและจำหน่าย solar rooftop โดยเรามองว่าการปฏิบัติตามนโยบายพลังงานใหม่ ซึ่งรวมถึง การปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯ จะส่งผลกระทบเชิงลบโดยตรงต่อ PTT และอาจรวมถึง PTTGC โดยเราเชื่อว่าหากมาตรการนี้มีผลชั่วคราว (4 เดือน) PTT จะเป็นผู้แบกรับต้นทุนไว้เพียงผู้เดียว แต่หากมาตรการนี้กลายเป็นมาตรการถาวรมีความเป็นไปได้ที่ PTT จะเจรจาให้ PTTGC เป็นผู้แบ่งเบาภาระต้นทุนส่วนเพิ่มนี้ด้วย โดยคำนวณเบื้องต้นหากคิดผลกระทบเต็มปี เราเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไร PTTGC ประมาณ 4.0-5.0 พันล้านบาทในปี 2024E สำหรับข่าวการสนับสนุนการติดตั้ง solar rooftop เรามีมุมมองเป็นบวกกับบริษัทที่ทำธุรกิจให้บริการติดตั้ง/จำหน่าย solar rooftop โดยคาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มขึ้น โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้ positive sentiment จากนโยบายดังกล่าวเรียงลำดับจากสัดส่วนรายได้ที่เกิดจากธุรกิจ solar rooftop คือ SOLAR (73%), PPM (30%), SPCG (25%), ALT (18%), COLOR (11%), AKR (10%) (สัดส่วนรายอิงงบ 9M23)
เรายังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี เรายังชอบหุ้นกลุ่มพลังงานปลายน้ำต้นน้ำมากกว่าต้นน้ำ เนื่องจากได้รับผลกระทบที่จำกัดจากความผันผวนของราคาน้ำมัน โดยเราชอบ OR (ซื้อ/เป้า 22.00 บาท) ส่วนกลุ่มโรงกลั่นเราชอบ BCP (ซื้อ/เป้า 50.00 บาท) จากปัจจัยเฉพาะตัว คือ 1) ปริมาณขายน้ำมันที่สูงขึ้นจากการควบรวม BSRC 2) ปริมาณผลิตที่ดีขึ้นของ OKEA จากการเข้าซื้อแหล่ง Statfjord และ 3) การรับรู้ผลประกอบการของ US CCGT ในขณะที่เราคงมุมมองเชิงลบต่อ PTTGC (ขาย/เป้า 35.00 บาท) ตามแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ยังทรงตัวต่ำ ในขณะที่ยังเห็นอุปทานใหม่เข้ามาในปี 2024E
กลับสู่ด้านบน
DAOL Contact Center Address เลขที่ 87/2 อาคารซีอาร์ซีทาวเวอร์ ชั้นที่ 18 ออลซีซั่นส์เพลส ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
©2025 บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สงวนลิขสิทธิ์