• คาดกรอบดัชนีฯ สัปดาห์นี้ 1600-1650 จุด (สัปดาห์ที่ผ่านมา 1,622.15 จุด / -1.37%)

• สัปดาห์นี้อาจจะเห็นการ Rebound ของตลาดหุ้น แต่ไปได้ไม่ไกลเพราะมีปัจจัยถ่วงหลายตัว

• ปัจจัยลบ ที่มีน้ำหนักมากที่สุดคือ Gazprom ชะลอการส่ง Gas ให้ยุโรปซึ่งเป็นข่าวใหม่ และ ทิศทางเศรษฐกิจจีน ที่มีการ lockdown รอบใหม่

• ตัวแปรสำคัญของไทย คือ ทิศทางราคาน้ำมัน (น่าจะขึ้น) และศาลรัฐธรรมนูญที่อาจจะมีการออก คำวินิจฉัยของนายกฯ จะมีผลบวก-ลบ ต่อตลาด

 

• ปัจจัยตลาดส่วนใหญ่ ชี้ไปในทางลบแม้ดัชนีฯจะลงมามาก แต่ยังแนะให้ใช้ความระมัดระวัง ในการ เข้าซื้อขายในช่วงนี้ หรือแค่เก็งกำไรช่วงสั้นๆ ก็พอ เงินสดเราแนะนำให้ถือไว้ 40%เพื่อรอซื้อหุ้น

• รัสเซีย กดดันยุโรปต่อ หุ้นน้ำมัน-ถ่านหิน ได้ประโยชน์แต่หุ้นที่อิงรายได้ในยุโรปจะเป็นลบ

• ยังต้องระวังหุ้นที่จะถูกกระทบจากการ lockdown ของจีน และประเด็นการค้าสหรัฐฯ-จีนรวมถึง กรณีพิพาทไต้หวัน อาทิ Logistics เดินเรือ อิเล็กทรอนิกส์ และท่องเที่ยว

• Rotate หุ้นตามนักลงทุนต่างประเทศสัปดาห์ที่ผ่านมา ขายธนาคาร(BBK, SCB, KBANK) แต่ ซื้อโรงพยาบาล(BH, BDMS)

• จับกระแสเก็งกำไรช่วงสั้นๆ หุ้นราคาลงมาลึก เราชอบNV, SAWAD, JKN, CHG, KEX

• พอร์ตหุ้นวันนี้ เรานำหุ้น SCB ออก และเพิ่มหุ้น FORTH, SAWAD, TFG เข้ามาในพอร์ต หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย FORTH(10%), SAWAD(10%), TFG(10%), TQM(10%), THCOM*(10%), CKP(10%)

 

 

SET ปิดที่ 1,621.95 จุด ลดลง 16.98 จุด (-1.04%) มูลค่าการซื้อขาย 79,411.84 ล้านบาท ปัจจัยต่างประเทศ ความกังวลดอกเบี้ย Fed และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงกดดันตลาด ตัวแปรในประเทศ ผลพวงจากราคาน้ำมันที่ลด ทำให้มีแรงเทขายหุ้นกลุ่มพลังงาน

 

 

( + ) Tourism (Overweight) ททท. เผยจำนวนนักท่องเที่ยวเดือน ส.ค. แตะระดับ 1.3 ล้านคน ฟื้นตัวดีตามคาด

 

( + ) BBIK (ซื้อ/เป้า 107.00 บาท) Backlog ยังทรงตัวสูง, กำไรมีโอกาส upside เพิ่มจากดีล M&A

( 0 ) RT (ถือ/เป้า 1.60 บาท) 2H22E ดีขึ้นและมีลุ้นงานเพิ่มเติม แต่ GPM ยังต้องใช้เวลาฟื้นตัว