• คาดดัชนีฯ มีโอกาสปรับตัวลง ตลาดต่างประเทศยังถูกกดดันจาก Fed ราคาน้ำมันลดลง และการ Lockdown ของจีน

• ตลาดรอดูตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ในคืนนี้ หากออกมาดี อาจจะทำให้ Fed มีการเร่งขึ้นดอกเบี้ย เดือน ก.ย.(คาดการณ์จากเดิมไม่เกิน 0.75%) ซึ่งอาจจะเป็นตัวแปรที่กดดันตลาดต่อเนื่อง

• สหรัฐฯ บังคับให้ผู้ผลิต Chip บางบริษัท (ตัวหลักๆ คือ NVDIA) ให้หยุดส่งออกชิป AI ให้กับจีน และการ Lockdown เฉิงตูในจีน เป็นส่วนหนึ่งที่ฉุดราคาน้ำมันให้ปรับตัวลดลง (ล่าสุด Brent= 93.3 เหรียญ)  เป็นลบต่อหุ้นกลุ่ม Logistics เดินเรือ และอิเล็กทรอนิกส์

• ไต้หวันมีการยิงใส่โดรนของเอกชน ทำให้เรายังต้องให้ความสนใจไปที่ควมสัมพันธ์หว่างจีนกับไต้หวันอย่างใกล้ชิด

• สัปดาห์หน้า(7) ศาลปกครองจะมีการนัดอ่านคำพิพากษาคดี หนี้ BTS ของ กทม. ที่พุ่งสูงถึง 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมีผลต่อราคาหุ้น BTS, BEM

• การเมืองไทย พลเอกประยุทธ์ ยื่นเอกสารแจงศาลรัฐธรรมนูญ แล้ว ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการที่วางไว้ ทำให้ศาลอาจจะมีการพิจารณาที่เร็วขึ้นกว่าเดิม คาดเป็นสัปดาห์หน้า (จากเดิมที่เคยคาดว่าจะตัดสินในกลางเดือน ก.ย.)

• ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมสหรัฐฯ (คาด + 3 แสนตำแหน่ง)  และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือน ก.ค.ของสหรัฐฯ

 

• ปัจจัยตลาดส่วนใหญ่ ชี้ไปในทางลบ และรอคอย โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯคืนนี้ หากออกมาสูงเกินคาด อาจจะลบต่อตลาดหุ้น ทำให้เรายังคงแนะนำให้ใช้ความระมัดระวัง ในการเข้าซื้อขายในช่วงนี้ หรือแค่เก็งกำไรช่วงสั้นๆ ก็พอ

เราให้ความสนใจกับ ผลกระทบที่จะมาจากการ lockdown ของจีน ที่จะกระทบต่อหุ้นกลุ่ม Logistics เดินเรือ และอิเล็กทรอนิกส์  หรืออาจกระทบมาถึงหุ้นท่องเที่ยวได้

• หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ WICE, CPN ออกจากพอร์ต และเพิ่ม TQM เข้ามาในพอร์ต พอร์ตหุ้นประกอบไปด้วย TQM(10%), THCOM*(10%), CKP(10%),  SCB(10%)

 

SET ปิดที่ 1,621.95 จุด ลดลง 16.98 จุด (-1.04%) มูลค่าการซื้อขาย 79,411.84 ล้านบาท ปัจจัยต่างประเทศ ความกังวลดอกเบี้ย Fed และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงกดดันตลาด ตัวแปรในประเทศ ผลพวงจากราคาน้ำมันที่ลด ทำให้มีแรงเทขายหุ้นกลุ่มพลังงาน

 

( - ) Energy (Neutral) ราคาน้ำมันลงจากความกังวลการ lockdown ของจีน

 

( + ) OR (ซื้อ/เป้า 32.00 บาท) คาดการใช้น้ำมันฟื้นตัวและค่าการตลาดยังสูง; Non-oil และ M&A หนุนกำไรระยะยาว

 

( - ) MAKRO (ปรับลงเป็น ถือ/ปรับเป้าลงเป็น 38.00 บาท) ยังมีแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายต่อ แม้จะเห็นการฟื้นตัว