ช่วงเวลากลางปีแบบนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่นักลงทุนหรือผู้บริหารความมั่งคั่งต่างก็จะหันกลับมาทบทวนพอร์ตการลงทุนของตัวเองอีกครั้ง เพราะถือเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งที่จะได้หยุดทบทวนและตรวจสอบพอร์ตการลงทุนของตัวเองว่าตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา พอร์ตของเราดำเนินไปในทิศทางตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ หรือเริ่มออกนอกลู่นอกทางโดยไม่รู้ตัว วันนี้จึงอยากชวนทุกคนมาตรวจเช็กสุขภาพพอร์ตการลงทุนกันอย่างจริงจัง เพราะการลงทุนที่ดีไม่ใช่แค่เริ่มต้นได้อย่างถูกทางเท่านั้น แต่ต้องรู้จักหยุดดูเส้นทางเป็นระยะ ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าเรายังมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายอย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพในทุกก้าวของการเดินทาง

 

 

 

 

ตรวจสุขภาพพอร์ต และสุขภาพใจของตัวเอง…

• เราประสบความสำเร็จตามแผนที่วางไว้แค่ไหน?
• เจออุปสรรคหรือ “ศึกหนัก” อะไรระหว่างทางบ้าง ทั้งปัจจัยด้านการลงทุน และปัจจัยในชีวิตประจำวัน?
• พอร์ตการลงทุนยังสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตและความเสี่ยงที่เรารับได้อยู่หรือไม่?

 

 

 

การตรวจสุขภาพพอร์ตไม่ใช่เพียงการดูที่ผลตอบแทนเท่านั้นแต่ยังหมายถึงการประเมิน “คุณภาพของการตัดสินใจ” ในช่วงที่ผ่านมาและวางแผน “ปรับกลยุทธ์”  สำหรับครึ่งปีหลังที่เหลือได้อย่างเหมาะสม เช่น

• ควรปรับสัดส่วนการลงทุน (Asset Allocation) หรือไม่?
• ควรเพิ่มหรือลดความเสี่ยง?
• ควรหยุด DCA หรือเดินหน้าต่อ?
• ยังควรเก็บหุ้นเดิมไว้ หรือถึงเวลาสับเปลี่ยน?

เพราะเป้าหมายทางการเงินของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ฉะนั้นการประเมินและปรับพอร์ตให้ “เท่าทันสถานการณ์” และ “สอดคล้องกับแผนชีวิต” จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ลงทุนไม่ควรละเลย

 

 

ขั้นตอนการตรวจสุขภาพพอร์ตลงทุน

รวบรวมข้อมูล ให้รวบรวมข้อมูลสินทรัพย์ทั้งหมดในพอร์ตลงทุน ว่ามีการจัดสินทรัพย์ (Asset Allocation) ซึ่งหมายถึงการแบ่งสัดส่วนน้ำหนักของเงินลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนต่าง ๆ ตามเป้าหมาย และความเสี่ยงที่วางเอาไว้ โดยเมื่อเวลาผ่านไปราวครึ่งปีก็ควรตรวจสอบพอร์ตลงทุนกันสักครั้ง โดยเฉพาะช่วงตลาดมีความผันผวนยิ่งต้องดูเป็นพิเศษ เพราะจะได้รู้ว่าสินทรัพย์ประเภทไหนมีราคาปัจจุบัน สร้างผลตอบแทน และระดับความเสี่ยงเป็นอย่างไร เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปอาจส่งผลกระทบต่อพอร์ตลงทุนได้ จึงควรตรวจสอบว่าสัดส่วนของพอร์ตลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเป้าหมายที่ได้วางไว้หรือไม่ ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องมีการจัดพอร์ตลงทุนใหม่ เพื่อให้กลับไปเหมือนเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ต้น

 

ประเมินผลการลงทุน ตรวจสอบผลการดำเนินงานของสินทรัพย์ลงทุนแต่ละประเภทว่าผ่านมาครึ่งปี สินทรัพย์ต่าง ๆ สร้างผลตอบแทนเป็นอย่างไร เช่น หากกองทุนไหนให้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจก็สามารถถือเอาไว้ต่อ ขณะเดียวกันกองทุนที่สร้างผลตอบแทนขาดทุน ก็ควรถูกทบทวนว่าสาเหตุเกิดจากสภาพตลาดที่ผันผวน หรือผู้จัดการกองทุนบริหารได้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่ากองทุนอื่นในกลุ่มเดียวกัน ถ้าเป็นอย่างหลังก็อาจพิจารณาขาย แล้วนำเงินไปลงทุนกองทุนใหม่ (ต้องเป็นกองทุนประเภทเดียวกัน) เข้ามาทดแทน แต่หากประเมินแล้วเห็นว่ากองทุนนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้ แต่มูลค่าลดลงเพราะสภาพตลาดผันผวน ก็ควรถือต่อหรือเพิ่มน้ำหนักการลงทุน เป็นต้น

 

วิเคราะห์สินทรัพย์ลงทุน ทำการศึกษาข้อมูลที่สำคัญ วิเคราะห์สินทรัพย์ลงทุนแต่ละประเภทอย่างละเอียด เพื่อให้เกิดความเข้าใจสินทรัพย์ดังกล่าวให้ดียิ่งขึ้น เช่น หากลงทุนหุ้น XYZ ก็เข้าไปดูงบการเงินเพื่อให้เห็นความสามารถในการทำกำไร ระดับหนี้สิน สถานะการเงิน หรืออัตราส่วนสำคัญทางการเงิน เช่นเดียวกันหากลงทุนกองทุนรวมก็พิจารณาข้อมูลหนังสือชี้ชวนสรุปข้อมูลสำคัญ (Fund Fact Sheet) ว่ามีการปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุน ปัจจัยความเสี่ยงสำคัญหรือข้อมูลแสดงคำเตือนที่ต้องระวังอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ โดยข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ลงทุนจะเป็นปัจจัยในการพิจารณาว่าจะวางกลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุนอย่างไร

 

ปรับสมดุลพอร์ตลงทุน (Portfolio Rebalancing) เป็นการปรับสัดส่วนของสินทรัพย์ลงทุนให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนที่วางไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยการขายสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักเกินสัดส่วนที่กำหนด และซื้อสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักต่ำกว่าที่กำหนด เพื่อทำให้พอร์ตกลับมามีความสมดุลเหมือนเดิม ซึ่งถือเป็นการบริหารความเสี่ยง กรณีราคาสินทรัพย์ลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง และอาจส่งผลความเสียหายต่อพอร์ตลงทุนโดยรวม 

 

(ที่มา: สมาคมนักวางแผนการเงินไทย (TFPA) / www.tfpa.or.th)