เราคงคำแนะนำ “ขาย” ที่ราคาเป้าหมายเดิมที่ 12.50 บาท อิง 2025E PER ที่ 17.2x (-2.75SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 5 ปีย้อนหลังของกลุ่มค้าปลีก) เรามีมุมมองเป็นกลางจากการประชุมนักวิเคราะห์ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของเราว่ากำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตร (GP/litre) น่าจะทรงตัว HoH อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าปริมาณขายน้ำมันจะลดลง QoQ ใน 3Q25E ตามอุปสงค์การใช้น้ำมันที่ลดลงในฤดูฝน ขณะที่ บริษัทน่าจะเห็นผลกระทบเชิงลบจากข้อขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาซึ่งอาจทำให้ปริมาณขายน้ำมันในกัมพูชาลดลง นอกจากนี้ เราเชื่อว่า Lifestyle EBITDA margin น่าจะอ่อนตัวลงจากราคาเมล็ดกาแฟที่สูงขึ้นต่อเนื่องและการใช้ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้น

เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E/2026E ที่ 8.7/9.4 พันล้านบาท เทียบกับ 7.7 พันล้านบาทในปี 2024 โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ คือ 1) ปริมาณขายน้ำมันในประเทศจะเติบโตที่ปีละ 3% 2) GP/litre จะทรงตัวที่ Bt0.84/litre ใกล้เคียงปี 2024 3) รายได้ของธุรกิจ Lifestyle ที่สูงขึ้นปีละ 5% ตามจำนวนสาขา Café Amazon และร้านสะดวกซื้อที่เพิ่มขึ้น และ 4) ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม (equity income) ที่สูงขึ้นจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางค่าเงินที่น้อยลงของธุรกิจในเมียนมา

ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 14% และ outperform SET 16% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนแนวโน้มเงินทุนไหลเข้า (fund flow) หุ้นที่มีขนาดใหญ่ (large cap) ที่สูงขึ้น ทั้งนี้ แม้ราคาปัจจุบันสะท้อน 2025E PER ที่อาจดูไม่แพงที่ 18.0x (ประมาณ -2.10SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 5 ปีย้อนหลังของกลุ่มค้าปลีก) แต่เราเชื่อว่ากำไรได้ผ่านจุดสูงสุดของปีไปแล้วใน 1Q25 และคาดว่ากำไรของบริษัทจะอ่อนตัว HoH ใน 2H25E ตามแนวโน้ม GP/litre ที่ทรงตัวต่ำ อีกทั้ง ปริมาณขายน้ำมันในต่างประเทศของบริษัทน่าจะอ่อนตัวจากข้อขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา นอกจากนี้ บริษัทน่าจะรับรู้รายการโอนกลับผลขาดทุนด้านเครดิตของลูกหนี้ (reversal of allowance for ECL)  ที่ลดลง