เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท อิง SoTP โดยคิดเป็น PER ที่ 33 เท่า หรือ -0.4 below 5-yr average PER) เราคาดกำไรสุทธิ 2Q23E ที่ 2.2 พันล้านบาท โต +105% YoY แต่หดตัว -3% QoQ โดยเติบโต YoY หลักจากยอดส่งมอบรถ E-Bus คาดที่จำนวน 600 คันใน 2Q23E ,โรงไฟฟ้าพลังงานลมที่มี productivity ดีขึ้น และค่า ft ที่มีการปรับขึ้นเมื่อเทียบกับ 2Q22 และหดตัว QoQ จากยอดส่งมอบ E-Bus ที่ลดลงจาก 790 คันใน 1Q23 แต่ถูกชดเชยด้วยรายได้จากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มีความเข้มของแสงที่มากขึ้นประกอบกับ productivity ที่ดีขึ้นจากการเปลี่ยนแผง solar อย่างไรก็ตามยังคงคาดเห็นรายได้จากธุรกิจ Bio-diesel อ่อนตัวต่อเนื่อง

บริษัทได้มีการลงนามเพื่อศึกษาการร่วมลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในประเทศไทยกับ 2 ผู้ผลิตรายใหญ่จากจีน Eve และ Sunwoda โดยตั้งเป้าจัดตั้งโรงงานที่มีกำลังการผลิตถึง 6 GWh  ซึ่ง EA จะมีสัดส่วนถือหุ้นที่อย่างน้อย 51% เพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันด้านต้นทุนและรองรับความต้องการ Retail EV car ในตลาดที่สูงขึ้นเป็นหลัก

คงประมาณการกำไรปี 2023E/24E ที่ 9.1/9.5 พันล้านบาท โต +19%/+5% YoY ทั้งนี้กำไร 1H23E คิดเป็น 51% ต่อกำไร 2023E มองว่ายังอยู่ในกรอบประมาณการ จาก 2H23E จะมีรายได้จากการส่งมอบรถที่สูงขึ้น HoH มาทดแทนรายได้ธุรกิจ Biodiesel ที่ลดลงและธุรกิจโรงไฟฟ้าที่หดตัวตามฤดูกาล

ราคาหุ้น underperform SET ที่ -5%/-12% ในช่วง 1 และ 3 เดือนที่ผ่านมา จากรับรู้ผลการดำเนินงาน 1Q23 ที่มีการส่งมอบรถ EV Bus ล่าช้ากว่าคาด รวมถึงยอดคำสั่งซื้อในอนาคตและความกังวลต่อข่าวลบเกี่ยวกับคุณภาพของแบตเตอรี่ อย่างไรก็ตามเรายังแนะนำ “ซื้อ” จาก valuation ที่ปัจจุบันเทรดอยู่ในระดับที่ต่ำเทียบกับผลการดำเนินงาน 2023E คิดเป็น PER ที่ 26x เทียบกับ 5-yr avg. ที่ 36x