เราคงคำแนะนำ “ถือ” แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 2.80 บาท (เดิม 2.30 บาท) จากการ rollover ไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2024E โดยยังคงอิง 2024E PBV ที่ 1.5x (-1 SD below 5-yr average PBV) เรามองเป็นลบเล็กน้อยต่อการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (29 ส.ค.) จากโอกาสที่ NPL ในระยะยาวจะเพิ่มขึ้น (เทียบกับอุตสาหกรรมที่อยู่ขาลง) และทำให้บริษัทอาจจะต้องกลับมาตั้งสำรองสูงในอนาคต แม้ว่ากำไรสุทธิปี 2023E จะมี upside จากค่าใช้จ่ายสำรองที่อ่อนตัวลงก็ตาม โดยเป็นผลของการปรับเป้า NPL ขึ้นเป็นไม่เกิน 5%, ชะลอการตัดจำหน่ายหนี้สูญ, เน้นการปรับโครงสร้างหนี้ที่ค้างชำระนานเป็นหลัก เพื่อใช้ประโยชน์จากการกลับรายการสำรอง และยอดปล่อยสินเชื่อปี 2023E จะทรงตัวไม่น้อยกว่า 2.0 พันล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าบริษัทที่ 2.4 พันล้านบาท

เราปรับกำไรสุทธิปี 2023E ขึ้น +31% เป็น 173 ล้านบาท (-44% YoY) จากการปรับลด credit cost ตามการบริหารจัดการของบริษัท ขณะที่เรายังคงกำไรก่อนค่าใช้จ่ายสำรอง (PPOP) ที่ 437 ล้านบาท (-9% YoY) นอกจากนี้เราคงกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 196 ล้านบาท (+14% YoY) หนุนโดยสินเชื่อที่กลับมาขยายตัวดี +10% YoY และ credit cost ที่ลดลง ตามเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ภายหลังที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และให้ความช่วยเหลือลูกหนี้

ราคาหุ้น underperform SET -15% และ -33% ในช่วง 3 และ 6 เดือนที่ผ่านมา จากผลการดำเนินงาน 2Q23 ที่ต่ำกว่าตลาดคาด ทั้งนี้เราแนะนำ “ถือ” จากราคาหุ้นที่ปรับตัวลง และสะท้อนความเสี่ยงต่างๆ ทั้ง NPL และ credit cost ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ขณะที่ระยะสั้นผลการดำเนินงาน 3Q23E จะยังไม่ดีหดตัว YoY จากต้นทุนการบริหารจัดการ NPL ที่ยังสูง ก่อนที่จะเริ่มกลับมาดีขึ้นในปี 2024E