เราปรับลดคำแนะนำเป็น “ถือ” จากเดิม “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายเดิมที่ 12.50 บาท อิง 2025E PER ที่ 17.2x (-2.75SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 5 ปีย้อนหลังของกลุ่มค้าปลีก) เราประเมินว่า OR จะรายงานกำไรสุทธิ 1Q25E ที่แข็งแกร่งที่ 3.9 พันล้านบาท (+5% YoY, +30% QoQ) โดยสูงขึ้น YoY หลักๆตามปริมาณขายน้ำมันในประเทศและ EBITDA margin ของธุรกิจ Lifestyle ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ดีขึ้น QoQ จากกำไรขั้นต้นต่อลิตร (GP/litre) ที่สูงขึ้น ทั้งนี้ แม้เรายังคงมุมมองว่าค่าการตลาด (marketing margin) ได้ผ่านจุดต่ำสุดระยะสั้นไปแล้วในเดือน ม.ค.2025 และอยู่ในเส้นทางการฟื้นตัว แต่เราเห็นความเสี่ยงที่สูงขึ้นต่ออัตราการเติบโตของอุปสงค์การใช้น้ำมันในประเทศโดยเฉพาะน้ำมันอากาศยาน (jet fuel) หลังจากนักวิเคราะห์กลุ่มท่องเที่ยวได้ปรับมุมมองจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาในจะลดลง YoY ในปี 2025E
เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E/2026E ที่ 8.7/9.4 พันล้านบาท เทียบกับ 7.7 พันล้านบาทในปี 2024 โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ คือ 1) ปริมาณขายน้ำมันในประเทศจะเติบโต 2) GP/litre จะทรงตัวใกล้เคียงปี 2024 3) รายได้ของธุรกิจ Lifestyle ที่สูงขึ้นตามจำนวนสาขา Café Amazon และร้านสะดวกซื้อที่เพิ่มขึ้นช่วยชดเชย EBITDA margin ที่อ่อนตัวจากราคาเมล็ดกาแฟที่สูงขึ้น และ 4) ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม (equity income) ที่สูงขึ้นจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางค่าเงินที่น้อยลงของธุรกิจในเมียนมา
ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 21% และ outperform SET 34% ในช่วง 3 เดือน สะท้อนแนวโน้ม marketing margin ที่น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” ราคาหุ้นได้ปรับตัวสูงขึ้นมา 35% แล้ว ราคาปัจจุบันจะสะท้อน 2025E PER ที่สมเหตุสมผลแล้วที่ 19.5x (ประมาณ -2.40SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 5 ปีย้อนหลังของกลุ่มค้าปลีก) เราจึงปรับคำแนะนำลงมาเป็น “ถือ” หากประมาณการกำไรปกติ 1Q25E เป็นไปตามที่เราคาด กำไรปกติ 1Q25 จะคิดเป็น 40% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเรา อย่างไรก็ดี เรายังคงประมาณการกำไรของเราไว้ก่อนเพราะเรามองว่าปริมาณขายน้ำมันของบริษัทจะอ่อนตัว QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลอีกทั้ง GP/litre มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวจากผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss) ที่เป็นไปได้