ปรับคำแนะนำลงเป็น “ขาย” (เดิม “ถือ”) และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 12.00 บาท (เดิม 15.00 บาท) อิง PER 25X (ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม 20X ให้ premium จากการเติบโตที่สูงกว่า 38% vs 27%) หรือเทียบเท่า PEG 0.7X (อิงการเติบโต +38% CAGR 2024-26E) ทั้งนี้บริษัทประกาศกำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 39 ล้านบาท (+7% YoY, -35% QoQ) (ไม่มี consensus) โดยรายได้รวมอยู่ที่ 691 ล้านบาท (+39% YoY, +9% QoQ) หนุนโดยการขยายสาขาเพิ่มเติม ในขณะที่ GPM อยู่ที่ 44% (-0.8ppt YoY, -1.3ppt QoQ) จากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นและค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่มากขึ้นในต่างจังหวัด ส่วน SG&A อยู่ที่ 257 ล้านบาท (+49% YoY, +23% QoQ) จากค่าใช้จ่ายในการเปิดสาขานอก กทม. และค่าใช้จ่ายการตลาดเปิดตัว Brand Admirer เป็นปัจจัยกดดันผลประกอบการให้ลดลง QoQ ใน 4Q24
จากผลประกอบการปี 2024 ที่ต่ำกว่าประมาณการเราราว -12% ทำให้เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E-26E ลงมาที่ 286 ล้านบาท (+42% YoY) และ 394 ล้านบาท (+38% YoY) ลดลงจากประมาณการเดิม -21%/-19% ตามลำดับ หลังแนวโน้ม GPM อาจขยายตัวช้ากว่าที่เคยประเมิน (4Q24 ลดลง YoY, QoQ) และสภาวะเศรษฐกิจอาจกระทบยอดขายโดยรวม ซึ่งเริ่มมีสัญญาณที่ต้องระวังหลัง SSSG ใน 4Q24 -1.8%
หลังจาก IPO ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น +133% และยังคง outperform SET ราว +6% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามผลประกอบการ 4Q24 ที่ออกมาค่อนข้างหน้าผิดหวังแม้ค่าใช้จ่ายอาจเป็น one time แต่ SSSG -1.8% เป็นสัญญาณที่ต้องระวัง ในขณะที่ปัจจุบันเทรด PER 33X เทียบการเติบโตระดับ 38% CAGR2024-26E มีแนวโน้มที่ตลาดจะให้ discount ที่มากกว่านี้จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวมีโอกาสกระทบยอดขายและแผนการขยายสาขา ทำให้ราคาหุ้นในระดับปัจจุบันมีความเสี่ยง จึงปรับคำแนะนำลงเป็น “ขาย”