เมื่อกลางเดือน พฤศจิกายน ที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ Wellington Management ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนาการลงทุน DAOL SECURITIES FORUM 2024 “Thriving through the Volatile Market พลิกโอกาสในตลาดผันผวน” ณ โรงแรม Waldorf Astoria ให้กับลูกค้าผู้มีอุปการคุณของ บล. ดาโอ โดยได้รับเกียรติจากนักกลยุทธ์การลงทุนจาก Wellington ซึ่งเป็น Fund Management ชั้นนำของโลก และนักกลยุทธ์การลงทุน และผู้จัดการกองทุน จากทั้ง 3 บลจ. ชั้นนำของไทย ทั้ง บลจ. กรุงศรี ยูโอบี และกรุงไทย
ทาง บล. ดาโอ จึงขอสรุปประเด็นเด่นที่ได้จากงานสัมมนา ดังนี้
เริ่มด้วย คุณณัฐพงศ์ ณ ระนอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวเปิดงาน ด้วยเรื่องของการคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง ของคุณโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ที่ถูกจับตามมองอย่างมาก โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจ การเมือง ของประเทศมหาอำนาจนี้
เนื่องจากมีนักวิเคราะห์ต่างออกมาคาดการณ์สถานการณ์ ว่าหลังจากนี้อาจจะมีผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งในเชิงบวก และลบ จากนโยบายที่ทรัมป์เคยกล่าวไว้ในช่วงที่กำลังหาเสียงเลือกตั้ง และจากการบริหารงานในสมัยที่ผ่านมา ซึ่งในมุมมองของภาคเศรษฐกิจ และทิศทางการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจับตามองหลังจากนี้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนโยบายด้านการคลัง และการจัดเก็บภาษี นโยบายการค้าระหว่างประเทศ และนโยบายผ่อนคลายด้านกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งถือว่าตัวกำหนดแนวโน้มเศรษฐกิจ และทิศทางการลงทุนของทั่วโลกก็ว่าได้
โดยในสัมมนานี้ผู้ฟังจะได้เห็นมุมมองการลงทุนในตลาดต่างประเทศที่ ในช่วงที่เหลือของปี ไปจนถึงในปี 2025 ชัดเจนขึ้น รวมทั้งโอกาสการลงทุน ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ผันผวน เพื่อเสริมพอร์ตการลงทุนให้เติบโตอย่างมั่งคั่งและยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ บล. ดาโอ “DAOL, your lifetime financial partner” เพื่อนคู่คิดทางการเงินของคุณ
Mr. Alistair J. MacDonald, Investment Strategist จาก Wellington Management เผยว่า ปี 2024 เป็นปีที่น่าตื่นเต้นของตลาดสินทรัพย์เสี่ยง ดัชนี S&P500 ปรับตัวบวกขึ้นมา 25% ราคา Bitcoin พุ่งกว่า 100% หุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Nvidia ปรับตัวขึ้นกว่า 200% สาเหตุจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีบทบาทเพิ่มขึ้น การเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของโลก (Big Tech) และการพัฒนาชิปและเซมิคอนดักเตอร์ที่มีความต้องการมากขึ้น เป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดในปี 2024 โดยเห็นได้จาก
ประการแรก บรรดาบริษัท Big tech ได้เพิ่มเงินลงทุนด้าน AI โดยมองว่า บริษัทผู้พัฒนาชิปประมวลผลอย่าง Nvidia ถือเป็น “top of the game” หรือเป็นบริษัทที่อยู่จุดสูงสุดของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของโลก โดยชิปประมวลผล AI รุ่นใหม่อย่าง Blackwell B200 GPU ซึ่งเป็นชิปที่ทรงพลังที่สุดในโลก มีทรานซิสเตอร์มากกว่า 208,000 ล้านตัว รองรับการประมวลผล ai ระดับล้านล้านพารามิเตอร์
ประการต่อมา คือ การใช้ Edge AI ประมวลผลข้อมูลบนอุปกรณ์โดยตรง ไม่ต้องผ่านระบบคลาวทุกอย่างเกิดขึ้นที่หน้าจอมือถือหรืออุปกรณ์เรา และประการสุดท้าย การใช้ระบบ Automation การใช้หุ่นยนต์ทำงานแทนคน เช่น การใช้หุ่นยนต์ทางการแพทย์
จากปัจจัยทั้งหมดจึงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีปัจจัยสนับสนุนมาจากกำไรบริษัทจดทะเบียนที่โตต่อเนื่องในปีนี้ ซึ่งเป็นการเติบโตด้วยปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนจริง ๆ แตกต่างจากปี 2023 ที่ตลาดหุ้นเติบโตจากการเก็งกำไรราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ดังนั้นในปี 2024-2025 ตลาดหุ้นจะฟื้นตัวในทุกกลุ่มธุรกิจ ไม่ใช่เติบโตแค่กลุ่มเทคโนโลยีเท่านั้น แต่จะโตครอบคลุมกลุ่มอื่นด้วย กลุ่มที่คาดว่าจะเติบโตโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มพลังงาน รวมถึง สินทรัพย์นอกตลาด (Private assets) ที่มีความต้องการระดมทุนสูงของบริษัทต่าง ๆ
แม้ว่าหุ้นสหรัฐฯ โตมากเมื่อเทียบกับ GDP และสวนทางกับตลาดหุ้นจีนที่ GDP โต แต่กำไรบริษัทจดทะเบียนของจีนแทบไม่โตเลย แต่สิ่งที่ต้องจับตาในปี 2025 คือ นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดเงินเฟ้อ และทำให้อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกนาน รวมถึงจับตาทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เกิดการร่วมมือเชิงนโยบายของประเทศต่าง ๆ มากกว่าที่จะเกิดการแบ่งขั้ว ด้านภาคการลงทุนของไทย ก็กำลังจับตาดูการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จะมีผลต่อตลาดอย่างแน่นอน
สำหรับในช่วงเสวนา ในหัวข้อ "Mutual Fund Insights: Maximizing Your Investment Potential” จากนักกลยุทธ์การลงทุนทั้ง 3 บลจ. สรุปประเด็นสำคัญ ได้ดังนี้
ด้าน บลจ. กรุงไทย คุณชัชพล สีวลีพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ งานกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ กล่าวไว้ว่า ปัจจัยที่ต้องจับตามองในปี 2025 คือ เรื่องเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย สงครามการค้า และปัญหาภูมิศาสตร์ คาดว่า ในไตรมาส 1 ปี 2025 อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวลง 2-3 ครั้ง ให้มาอยู่ในระดับปกติ เมื่อเทียบเท่ากับอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ และอัตราเงินเฟ้อน่าจะปรับตัวลดลงมา ทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวเดินหน้าต่อไป
ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาดู คือ นโยบายการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ หากย้อนกลับไปดูสงครามการค้าในสมัยของทรัมป์ 1 ผลที่ออกมา สหรัฐฯ ได้ประโยชน์มากกว่าจีน และยังคงเชื่อว่าในครั้งนี้ สหรัฐฯ ก็จะได้ประโยชน์จากการค้ามากกว่าจีนอีกเช่นกัน ขณะที่ความเสี่ยงด้านสงครามในตะวันออกรวมถึงในยูเครน คาดว่าน่าจะสงบลงได้ หรือลดความร้อนแรงลง และสำหรับนโยบายของทรัมป์เรื่องการใช้น้ำมันนั้น อาจจะไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น แต่เป็นนโยบายที่ทำให้ผลิตน้ำมันใช้ในประเทศสหรัฐฯ ได้มากขึ้น
ด้วยภาพดังกล่าว บลจ. กรุงไทย แนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่นอย่างตลาดหุ้นอินเดียผ่าน "กองทุนเปิดเคแทม อินเดีย อิควิตี้ ฟันด์ (KT-INDIA)" ซึ่งบริหารโดยผู้จัดการของกองทุนรวมหลักจาก Invesco Management S.A เนื่องจากเศรษฐกิจของอินเดีย มีการส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนแค่ประมาณ 10% ซึ่งไม่น่าจะมีผลกระทบต่อกำแพงภาษีที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงประเทศอินเดียไม่ค่อยจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าเหมือนกับประเทศอื่น ๆ แถมยังเป็นเป้าหมายของการย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่าง ๆ อีกด้วย และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในอันดับต้นของโลกของอินเดีย จะส่งผลต่อการเติบโตต่อตลาดหุ้นอินเดียเติบโต สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียมากที่สุดด้วย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ
ด้วยความโดดเด่นดังกล่าว ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียถูกเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในดัชนี Emerging Market อย่างมีนัยสำคัญ มีกระแสเงินลงทุนไหลเข้าอินเดียอย่างมาก ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี NIFTY 500 ยังเติบโตได้ดีกว่า GDP ของประเทศอินเดีย ทำให้ราคาหุ้นของอินเดียเติบโต สะท้อนรายได้ และกำไรของบริษัทจดทะเบียนอีกด้วย
นอกจากนี้ในอนาคต มีมุมมองว่าเศรษฐกิจอินเดียจะมีการเติบโตจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่สำคัญใน 3 ด้าน ได้แก่
1.) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางด้านการเงิน (Financial Transformation) โดยเป็นความพยายามของรัฐบาลอินเดียในการผลักดัน ให้เกิดการเข้าถึงทางการเงินมากขึ้น
2.) การขยายตัวของภาคการบริโภค (Consumption Explosion) เกิดขึ้นจากรายได้ และอำนาจการบริโภคที่เพิ่มขึ้นภายในประเทศ
3.) การเปลี่ยนเข้าสู่ยุคของการผลิตที่ฟื้นฟูในอินเดีย (Manufacturing Renaissance) เป็นการเพิ่มการผลิตในประเทศ และเพิ่มการส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ
นอกจากนี้ นโยบายการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจเอื้อประโยชน์ต่ออินเดีย เนื่องจากเป็นประเทศที่สร้างสมดุลการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ อีกด้วย
คุณพรชนก รัตนรุจิกร, CFA ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ. กรุงศรี ระบุว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ จะมีผลต่อตลาด แต่ในเวลานี้ยังไม่ส่งผลกระทบมากจนกว่าทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในปีหน้า และเริ่มดำเนินนโยบายต่าง ๆ โดยเฉพาะนโยบายด้านการค้า คาดการณ์ผลกระทบจากนโยบายการค้าจะทำให้เกิดความผันผวนกับการลงทุน อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าตลาดสินทรัพย์เสี่ยงยังเป็นขาขึ้นแต่จะเผชิญกับความผันผวน จึงแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทโครงสร้างพื้นฐานอย่าง "กองทุนเปิดกรุงศรีเน็กซ์เจเนเรชั่นอินฟราสตรัคเจอร์ (KFINFRA-A)"
ธุรกิจประเภทโครงสร้างพื้นฐานมีเอกลักษณ์โดดเด่น คือ การเป็นธุรกิจกึ่งผูกขาดที่มีการให้บริการในระยะยาว มีคู่แข่งน้อยราย มีความเป็นอิสระจากการเปลี่ยนแปลงของวัฏจักรเศรษฐกิจ และอัตราผลตอบแทนสามารถชดเชยกับเงินเฟ้อได้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีความต้องการอย่าง การคมนาคมขนส่ง โทรคมนาคม การสื่อสาร พลังงาน และสิ่งก่อสร้าง เป็นสาธารณูปโภคที่ยังคงมีการเติบโต
ขณะเดียวกันการลงทุนธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานเป็นการลงทุนแบบปลอดภัย (Defensive) แต่ก็สามารถสร้างการเติบโตได้ เนื่องจากการขับเคลื่อนของนวัตกรรมที่ทำให้เกิดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ (New Economy) ที่เกี่ยวข้องกับเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) และการเดินทาง (Mobility) ทั้งทางบก ทางเรือ และอากาศ ดังนั้น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจึงเป็นการเติบโตที่ยั่งยืน และสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนของตลาดที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในปีหน้า
คุณชุณหวัต จิระวิชิตชัย นักกลยุทธ์การลงทุน บลจ. ยูโอบี แนะนำว่า สภาพตลาดในปัจจุบันเป็นโอกาสดีสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก จากภาวะดอกเบี้ยสูงทั่วโลกและอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้มีความน่าสนใจ ขณะที่อัตราการผิดนัดชำระหนี้ของตราสารหนี้ในสหรัฐฯ ลดน้อยลงในช่วงที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงเติบโต
บลจ. ยูโอบี จึงแนะนำ "กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ (UGIS-N)" บริหารโดยผู้เชี่ยวชาญการลงทุนด้านตราสารหนี้ของ PIMCO ที่มีกลยุทธ์การบริหารเชิงรุก (Active Manage) กระจายการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพทั่วโลกเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอในระยะยาว
แม้ว่าในปีหน้าจะมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามได้แก่
1.) นโยบายการขึ้นกำแพงภาษีของทรัมป์ซึ่งอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้น
2.) สถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลางที่อาจจะส่งผลต่อราคาน้ำมัน
3.) ความกังวลในภาคอสังหาริมทรัพย์ จากภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession)
แต่ด้วยเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ณ ปัจจุบันยังคงแข็งแกร่ง และเงินเฟ้อมีทิศทางชะลอตัว อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่อยู่ในระดับสูงในเวลานี้ จึงเป็นโอกาสที่เหมาะสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ และด้วยกลยุทธ์ของ PIMCO ที่บริหารแบบยืดหยุ่นในการเลือกสินทรัพย์ลงทุนให้สอดคล้องกับภาวะตลาด ดังนั้นจึงแนะนำจัดสรรเงินลงทุนในตราสารหนี้โลกในเวลานี้
ด้าน ดร. ฉัตรพงศ์ วัฒนจิรัฏฐ์, FRM รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บล. ดาโอ ให้มุมมองหลังจากงานสัมมนาว่า ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ แนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายดอกเบี้ย เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความผันผวนให้กับการลงทุน แต่ก็ทำให้สินทรัพย์บางกลุ่มมีความโดดเด่นขึ้น ซึ่งวิทยากรแต่ละท่านได้ให้มุมมองต่อสินทรัพย์ที่เป็นโอกาสลงทุนในปี 2025 ไม่ว่าจะเป็นหุ้นโลกที่มีกระแสเงินสดและอัตราการเติบโตดี (Quality Growth) หุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน หุ้นตลาดอินเดีย และตราสารหนี้โลก แต่การลงทุนนั้นไม่ใช่การตัดสินใจตอนต้นปีครั้งเดียวแล้วจบ จำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างปี ซึ่ง บล. ดาโอ มีทีมผู้แนะนำการลงทุนที่มีประสบการณ์ ทำหน้าที่ให้ข้อมูลและคำแนะนำประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งสององค์ประกอบนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าประสบความสำเร็จในการลงทุน
คำเตือน : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
กองทุน KT-INDIA มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงโดยดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือจะได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
การลงทุนในกองทุนรวม UGIS-N มีการลงทุนในต่างประเทศจึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ กองทุน UGIS-N อาจพิจารณาลงทุนใน Derivative เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน โดยกองทุนจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ ในกรณีสถานการณ์ไม่ปกติ กองทุนอาจพิจารณาป้องกันความเสี่ยง FX ตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุน
DAOL Contact Center Address เลขที่ 87/2 อาคารซีอาร์ซีทาวเวอร์ ชั้นที่ 18 ออลซีซั่นส์เพลส ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
©2024 บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สงวนลิขสิทธิ์